สัญญาณเตือนต้องรู้ก่อนเป็นมะเร็งตับ
โรคมะเร็งตับยังคงเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมะเร็งทั้งหมด โดยเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และพบมากเป็นอันดับ 3 ในเพศหญิง เมื่อเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตได้ถึง 87% หรือในทางกลับกันมีโอกาสอยู่รอดเพียง 13% เท่านั้น หากมีสัญญาณเตือน น้ำหนักลด ท้องอืด แน่นท้อง ควรรู้เท่าทัน ระวังป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากมะเร็งตับ
รอบรู้เรื่องตับ
ตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ ทำหน้าที่สะสมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งถูกดูดซึมจากลำไส้ และนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยสารอาหารนั้นอาจจะถูกเปลี่ยนแปลง (Metabolize) จากในตับไปเป็นพลังงานหรือไปใช้เพื่อซ่อมแซมอวัยวะต่าง ๆ นอกจากนี้ตับจะหลั่งน้ำดีเข้าไปในลำไส้เพื่อช่วยดูดซึมสารอาหารโดยเฉพาะไขมัน และยังทำหน้าที่สลายแอลกอฮอล์ ยา และของเสียที่เป็นพิษ เพื่อขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ
ตับประกอบด้วยเซลล์มากมาย ทั้งเซลล์ตับ (Hepatocyte) เซลล์ของเส้นเลือด และเซลล์ของท่อน้ำดี ซึ่งเซลล์ท่อน้ำดีนี้จะขยายต่อออกมานอกตับ เป็นท่อน้ำดีเพื่อระบายน้ำดีออกไปยังถุงน้ำดีและลำไส้เล็ก เซลล์ต่าง ๆ ที่อยู่ในตับเมื่อเกิดการกลายพันธุ์ก็จะกลายเป็นเซลล์ของเนื้องอกหรือเซลล์มะเร็งที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ จะเจริญเติบโตด้วยตัวมันเองในตับและกระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่แตกต่างกันนี้มาจากสาเหตุของการเกิดมะเร็งที่ต่างกันจึงทำให้วิธีการรักษาและการพยากรณ์โรคแตกต่างกันไป
มะเร็งตับ
มะเร็งตับประกอบด้วย มะเร็งชนิดที่เกิดขึ้นจากเซลล์ที่อยู่ในตัวของตับเอง ที่พบได้บ่อยในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิดคือ
- มะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีในตับ (Cholangiocarcinoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่บุท่อน้ำดีที่อยู่ในตับ สาเหตุมาจากโรคพยาธิใบไม้ในตับ พบได้บ่อยทางภาคอีสาน รวมถึงการรับประทานอาหารบางชนิดที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น สารดินประสิว (Nitrosamine) ที่มีอยู่ในอาหารประเภทหมัก และอาหารจำพวกรมควัน เป็นต้น มะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีนี้ การตรวจค้นหาระยะเริ่มแรกยังไม่มีวิธีการที่ดี และเมื่อเป็นแล้ววิธีการรักษาจะค่อนข้างยุ่งยาก และผลการรักษายังไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งชนิดนี้ที่ดีที่สุด คือ งดการรับประทานปลาน้ำจืดดิบและอาหารที่มีสารดินประสิวปนเปื้อน
- มะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ (Hepatocellular Carcinoma) มะเร็งตับชนิดนี้พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย สาเหตุของการเกิดมะเร็งชนิดเซลล์ตับคือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ซึ่งสามารถติดต่อได้ทางเลือด การติดจากแม่ไปสู่ลูกในครรภ์ ทางเพศสัมพันธ์ เมื่อเชื้อไวรัสเข้าไปอยู่ในเซลล์ตับก็สามารถกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังหรือกลายเป็นพาหะติดต่อผู้อื่นได้โดยตัวเองไม่มีอาการ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้กลายเป็นมะเร็งตับได้ เช่น ผู้ป่วยตับแข็งที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือจากไขมันพอกตับเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง พริกแห้ง กระเทียม ธัญพืชต่าง ๆ ซึ่งมาจากเชื้อราที่มีสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) โดยสารนี้จะเป็นตัวเสริมให้เป็นมะเร็งเซลล์ตับในผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้ง่ายขึ้น การป้องกันมะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ คือ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีและการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีทางกระแสเลือดหรือเพศสัมพันธ์จากผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง และมะเร็งตับ ที่เกิดจากมะเร็งชนิดอื่น ๆ กระจายมายังตับได้ง่าย มะเร็งชนิดนี้จะพบในประเทศแถบตะวันตกมากกว่าประเทศในแถบเอเชีย
อาการมะเร็งตับ
มะเร็งตับในระยะแรกนั้นมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคมะเร็งโตมากขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการ
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด
- ท้องอืด
- ปวดหรือเสียวชายโครงด้านขวา
- จุกเสียดแน่นท้อง
- อาจปวดร้าวไปยังไหล่ขวาหรือใต้สะบักด้านขวา
เมื่อมะเร็งทำลายหน้าที่ของตับมากขึ้นหรือเกิดการอุดตันของท่อน้ำดี ผู้ป่วยอาจจะมีอาการ
- ตัวเหลือง
- ตาเหลือง
- ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม
- ท้องบวม
- ขาบวม
- ไข้ต่ำ ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
***เมื่อมะเร็งเป็นมากแล้วสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ได้ เช่น กระดูก
ตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับ
การตรวจเพื่อค้นหามะเร็งตับระยะแรกเริ่มนั้น สำหรับมะเร็งท่อน้ำดียังไม่มีวิธีใดดีที่สุด แต่สำหรับมะเร็งตับและเซลล์ตับนั้น สามารถเฝ้าระวังโดยการตรวจอัลตราซาวนด์ตับ หรือตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งตับที่เรียกว่า Alpha – Fetoprotein (AFP) ทุก 6 – 12 เดือน ซึ่งมีหลักฐานว่าจะสามารถค้นหามะเร็งตับระยะแรกเริ่มได้ ซึ่งเมื่อพบว่ามีก้อนผิดปกติในตับแล้ว การวินิจฉัยโรคมะเร็งตับก็อาจจะตรวจด้วย CT Scan หรือ MRI ตับ ในบางรายอาจจำเป็นต้องเจาะชิ้นเนื้อมาตรวจ
รักษามะเร็งตับ
การรักษาโรคมะเร็งตับ จำเป็นต้องมีการวางแผนการรักษาโดยทีมแพทย์ที่มีความชำนาญในการรักษามะเร็งตับ (Multidisciplinary Team) เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย มะเร็งตับมีหลายรูปแบบการรักษา เช่น การผ่าตัด แต่เนื่องจากมะเร็งตับมักจะพบในผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเรื้อรังหรือมีตับแข็งอยู่ด้วย ฉะนั้นการผ่าตัดตับอาจจะทำได้ในผู้ป่วยประมาณ 20% ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งตับขนาดไม่ใหญ่ แต่มีตับแข็งมาก อาจจะต้องใช้วิธีการเปลี่ยนตับ ซึ่งวิธีการเปลี่ยนตับนั้นยังไม่แพร่หลายในประเทศไทย เนื่องจากยังมีผู้บริจาคตับไม่มาก หรือในกรณีที่มะเร็งตับเป็นก้อนใหญ่ หรือมีหลายก้อนไม่สามารถจะผ่าตัดตับได้ อาจจะใช้วิธีการฉีดยาเคมีบำบัด เป็นการรักษาแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment) ใช้ยาพุ่งเป้า (Targeted Therapy) หลายชนิดเป็นที่ยอมรับว่ารักษาได้ผลดีที่สุดสำหรับมะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ โดยการใช้ยาต้านมะเร็งที่มีฤทธิ์เฉพาะเจาะจงที่เซลล์มะเร็งที่ตับ มีการวิจัยเพื่อนำไปสู่การรักษาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น (Precision Medicine) โดยตรวจหายีนจำเพาะมะเร็งตับเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและสามารถใช้ยาภูมิคุ้มกันรักษา Immunotherapy มารักษามะเร็งตับได้ด้วย
เนื่องจากมะเร็งตับระยะเริ่มแรกไม่มีอาการ เมื่อมีอาการแล้วโอกาสการรักษาจึงมีน้อย การคัดกรองหรือเฝ้าระวังมะเร็งตับให้พบในระยะแรกเริ่มจึงเป็นวิธีที่มีโอกาสหายมากที่สุด การค้นหาให้ได้มะเร็งระยะเริ่มต้น ได้แก่ การรักษาด้วยความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุสูง (RF) หรือคลื่นไมโครเวฟ โดยคลื่นดังกล่าวจะส่งผ่านเข็มเล็ก ๆ ที่แทงผ่านเข้าไปในก้อนมะเร็งในตับ ซึ่งได้ผลดีในมะเร็งตับที่เล็กกว่า 3 เซนติเมตร
ในมะเร็งตับที่ก้อนใหญ่หรือมีหลายก้อนไม่สามารถจะผ่าตัดตับได้ อาจจะใช้วิธีการฉีดยาเคมีบำบัดและสารไปอุดตันกระแสเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งตับ ด้วยการสอดท่อเล็ก ๆ ที่เรียกว่า สายสวน (Catheter) ผ่านทางเส้นเลือดที่ขาหนีบหรือที่แขน เข้าไปยังเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงตับ ซึ่งเราเรียกว่า TACE (Transarterial Chemoembolization) หรือบางครั้งเรียกว่า TOCE (Transarterial Oil Chemoembolization) ซึ่งวิธีการเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่จะผสมยาเคมีบำบัดกับสารที่เป็นน้ำมันคือ lipiodol สามารถอุดตันหลอดเลือดได้ดีกว่า และอาจจะต้องฉีดเพื่ออุดตันเส้นเลือดหลายครั้ง เพื่อลดการฉีดหลาย ๆ ครั้ง แพทย์จะใช้การฉีดสารกัมมันตภาพรังสีเข้าทางเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงตับเพื่อเป็นการฉายแสงจากภายในเรียกว่า SIRT (Selective Internal Radiation Therapy) ซึ่งการรักษาชนิดนี้เหมาะกับมะเร็งตับที่มีการลุกลามไปยังหลอดเลือดดำของตับด้วย
ความก้าวหน้าของการรักษาโรคมะเร็งตับอีกหนึ่งวิธีคือ การนำเอาวิธีฉายแสงมาฉายทำลายมะเร็งตับ เครื่องฉายแสงในปัจจุบันนั้นสามารถปรับความเข้มข้นของรังสีและสามารถฉายแสงได้ 3 มิติ หรือ 4 มิติ ทำให้ตับที่ไม่ได้เป็นมะเร็งได้รับอันตรายน้อยลง จึงได้นำการฉายแสงกลับมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งตับมากขึ้นที่เรียกว่า SBRT (Stereo Body Tactic Radiation Therapy) ใช้เครื่องเร่งอนุภาคอิเล็กตรอนให้เกิดรังสีเอกซ์ฉายไปที่มะเร็งตับ ทำให้มะเร็งตับตาย นอกจากนี้มีการนำเอาอนุภาคโปรตอนหรือคาร์บอน (Heavy Ion) มาใช้ในการรักษามะเร็งตับ เนื่องจากใช้เวลาในการฉายรังสีเพียงระยะสั้น ๆ ด้วยความเข้มข้นสูง
ป้องกันมะเร็งตับ
- การป้องกันมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดี คือ การหลีกเลี่ยงการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ และการบริโภคสารก่อมะเร็ง (Nitrosamine)
- การป้องกันมะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ คือ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีและการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีทางกระแสเลือดหรือเพศสัมพันธ์ ซึ่งผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ คือ ผู้ที่เป็นพาหะโรคตับอักเสบบี ผู้เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังบีและซี ผู้เป็นโรคตับแข็ง ควรได้รับการติดตามโดยทำอัลตราซาวน์และเจาะเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ AFP ทุก 6 เดือน
มะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่ป้องกันได้ หากมีการตรวจคัดกรอง เฝ้าระวัง และพบในระยะแรกเริ่ม เป็นวิธีที่ดีและผู้ป่วยมีโอกาสในการรักษาหาย ควรเลือกสถานพยาบาลที่มีความพร้อมที่ประกอบด้วยทีมแพทย์ที่มีความชำนาญหลากหลายสาขา เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่ดี ให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติได้ดังเดิม