มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวาร
ข้อเท็จจริงมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ลำไส้ใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของระบบย่อยอาหารที่มีบทบาทสำคัญในร่างกาย โดยหน้าที่หลักของลำไส้ใหญ่คือการดูดซึมน้ำและเกลือแร่ที่เหลือจากอาหารที่ผ่านการย่อยในลำไส้เล็กและการขับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกายในรูปของอุจจาระ
- ลำไส้ใหญ่มีความยาวประมาณ 1.5 เมตร แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่:
- ลำไส้ใหญ่ส่วนต้น (Cecum) เชื่อมต่อกับลำไส้เล็กและเป็นจุดเริ่มต้นของลำไส้ใหญ่
- ลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง (Transverse Colon) ส่วนนี้ทอดยาวข้ามช่องท้องจากด้านขวาไปด้านซ้าย
- ลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง (Descending Colon) ส่วนนี้ทอดตัวลงสู่ช่องท้องด้านซ้าย
- ไส้ตรง (Rectum) ส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ที่เชื่อมกับทวารหนัก ทำหน้าที่เก็บอุจจาระก่อนที่จะถูกขับถ่ายออกจากร่างกาย
- มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่นับว่ามีความสำคัญต่อสุขภาพของประชาชน ในปัจจุบันมะเร็งลำไส้ใหญ่จัดเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับที่ 3 ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง มีโอกาสเสี่ยงมากขึ้นเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป แม้ว่าโรคนี้จะมีโอกาสในการรักษาให้หายได้หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ๆ แต่ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนสามารถป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม
มะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดจากอะไร
-
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ในลำไส้ใหญ่หรือไส้ตรง ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบคุมได้ การเจริญเติบโตนี้มักเริ่มต้นจากการที่เยื่อบุผิวลำไส้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย พัฒนาเป็นติ่งเนื้อ (Polyp) และเมื่อเวลาผ่านไปติ่งเนื้อเหล่านี้อาจกลายเป็นมะเร็งได้หากไม่ได้รับการรักษา
สาเหตุมะเร็งลำไส้ใหญ่และปัจจัยเสี่ยง
-
แม้ว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย แต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนได้ อย่างไรก็ตามมีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่
- พันธุกรรมและประวัติครอบครัว หากมีคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ หรือพี่น้อง เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ความเสี่ยงที่เราจะเป็นโรคนี้จะสูงขึ้น นอกจากนี้มียีนที่ผิดปกติบางชนิดที่สืบทอดได้ ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ เช่น Lynch Syndrome และ Familial Adenomatous Polyposis (FAP)
- โภชนาการและพฤติกรรมการใช้ชีวิต การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง เนื้อแดง และอาหารแปรรูปมากเกินไป เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการไม่ออกกำลังกายยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความเสี่ยงของโรคนี้
- อายุ มะเร็งลำไส้ใหญ่มักเกิดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น แม้ว่าจะสามารถพบในคนอายุน้อยได้ แต่ความเสี่ยงในกลุ่มคนอายุมากจะสูงกว่า
- โรคลำไส้อักเสบ ผู้ที่มีประวัติการเป็นโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบของลำไส้ เช่น Crohn’s Disease หรือ Ulcerative Colitis มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการพัฒนาเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากการอักเสบเรื้อรังสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในลำไส้
- การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม (Mutation) การกลายพันธุ์ของเซลล์ในลำไส้สามารถทำให้เซลล์เจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็งได้ การกลายพันธุ์นี้อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น สารเคมีที่เป็นพิษ
สัญญาณเตือนและอาการของโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่
-
มะเร็งลำไส้ใหญ่มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่เมื่อเนื้องอกเริ่มเติบโตหรือมะเร็งพัฒนาไปมากขึ้น อาจเกิดอาการที่สังเกตได้ ดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงในการขับถ่าย
- ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
- รู้สึกไม่สบายท้องหลังจากขับถ่ายหรือรู้สึกว่าลำไส้ยังไม่ว่างเต็มที่หลังจากขับถ่าย
- การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของอุจจาระ เช่น มีลักษณะเป็นเส้นยาวหรือแบนกว่าปกติ
- การมีเลือดปนในอุจจาระ
- พบเลือดสดหรือเลือดที่มีสีคล้ำปนอยู่ในอุจจาระ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งในลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก
- อาการปวดท้องหรือไม่สบายท้อง
- ปวดท้องเรื้อรัง ตะคริว หรือรู้สึกท้องอืดบ่อย ๆ
- อาการเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย
- อาการอ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่ายโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน ซึ่งอาจเกิดจากการเสียเลือดเล็กน้อยแต่เรื้อรัง ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย
- ท้องผูกสลับกับท้องเสีย
- การเกิดท้องผูกและท้องเสียสลับกันเป็นประจำ อาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในลำไส้ใหญ่
- การเปลี่ยนแปลงในการขับถ่าย
ตรวจวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่
-
การตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอนและต้องพิจารณาจากอาการ ประวัติทางการแพทย์ และผลการตรวจเบื้องต้น วิธีการตรวจวินิจฉัยมีหลายวิธี ซึ่งประกอบด้วย
- การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการตรวจหาโพลิปและเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ โดยการสอดกล้องขนาดเล็กที่มีกล้องวิดีโอเข้าไปในลำไส้ใหญ่ หากพบโพลิปหรือเนื้องอก แพทย์จะตัดตัวอย่างเนื้อเยื่อเพื่อนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่
- การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT-Scan) เอกซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ PET CT-Scan ช่วยตรวจดูขอบเขตของการแพร่กระจายของมะเร็งในลำไส้ใหญ่และอวัยวะอื่น ๆ เช่น ตับ กระดูก หรือปอด
- การตรวจเลือด (Carcinoembryonic Antigen – CEA Test) การตรวจระดับสาร CEA ในเลือด ซึ่งเป็นโปรตีนที่เซลล์มะเร็งบางชนิดปล่อยออกมา การตรวจนี้มักใช้เพื่อติดตามผลหลังการรักษาและดูว่ามะเร็งกลับมาเกิดใหม่หรือไม่
การตรวจวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
ระยะของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
ระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่แบ่งออกเป็น
- ระยะที่ 0 มะเร็งเฉพาะในเยื่อบุผิว (Carcinoma in situ) เป็นระยะแรกสุดของมะเร็ง เซลล์มะเร็งยังคงอยู่ในชั้นเยื่อบุผิวของลำไส้ใหญ่เท่านั้น และยังไม่ได้เจริญเติบโตเข้าสู่ชั้นลึกของผนังลำไส้
- ระยะที่ 1 มะเร็งเริ่มลุกลามเข้าสู่ชั้นลึกของผนังลำไส้ใหญ่ มะเร็งลุกลามจากชั้นเยื่อบุผิวเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อของผนังลำไส้ แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น ๆ
- ระยะที่ 2 มะเร็งลุกลามไปถึงผนังลำไส้และเยื่อหุ้มช่องท้อง มะเร็งลุกลามลึกลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อและอาจทะลุผ่านผนังลำไส้ไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใกล้เคียง แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง
- ระยะที่ 3 มะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง มะเร็งลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ลำไส้ใหญ่ แต่อาจยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ห่างไกล
- ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ (Metastatic Cancer) มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะ อื่น ๆ เช่น ตับ ปอด หรือกระดูก ซึ่งเป็นระยะที่รุนแรงที่สุด
รักษามะเร็งลำไส้ใหญ่
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ขนาดของเนื้องอก ตำแหน่งที่เกิดมะเร็ง และสภาพทั่วไปของผู้ป่วย โดยทั่วไปแล้วการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่จะประกอบด้วยวิธีหลัก ๆ ดังนี้
1) การผ่าตัด (Surgery) เป็นการรักษาหลักของมะเร็งลำไส้ใหญ่เพื่อตัดลำไส้ส่วนที่เป็นเซลล์มะเร็งออกไป อาจต้องรักษาร่วมกับวิธีอื่น ๆ เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา วิธีการผ่าตัดลำไส้ใหญ่แบ่งออกเป็น
- การผ่าตัดลำไส้ใหญ่บางส่วน (Partial Colectomy) การเอาส่วนที่มีมะเร็งและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ออกจากลำไส้ใหญ่ หากมะเร็งเกิดขึ้นที่บริเวณไส้ตรงอาจต้องทำการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ทั้งส่วนปลายและไส้ตรง พร้อมทั้งมีการสร้างทวารใหม่ (Ostomy) สำหรับการขับถ่าย
- การผ่าตัดลำไส้ใหญ่ทั้งหมดและไส้ตรง (Total Colectomy) กรณีมะเร็งเกิดขึ้นหลายตำแหน่งของลำไส้ใหญ่ อาจต้องทำการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออกทั้งหมด พร้อมทั้งสร้างทวารใหม่ (Ostomy) สำหรับการขับถ่าย
2) การใช้เคมีบำบัด (Chemotherapy) การใช้ยาเคมีบำบัดจะเข้าไปช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งทั่วทั้งร่างกาย มักใช้ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น ๆ การให้เคมีบำบัดมีหลายแบบ ได้แก่
- เคมีบำบัดก่อนผ่าตัด (Neoadjuvant Chemotherapy) ใช้เพื่อลดขนาดเนื้องอกและลดการแพร่กระจายก่อนการผ่าตัด
- เคมีบำบัดหลังผ่าตัด (Adjuvant Chemotherapy) ใช้หลังการผ่าตัดเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลือและลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นมะเร็งใหม่
- เคมีบำบัดในผู้ป่วยระยะที่ 4 (Palliative Chemotherapy) ใช้เพื่อบรรเทาอาการและยืดอายุชีวิตในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ
3) การฉายรังสี (Radiation Therapy) เป็นการใช้รังสีพลังงานสูงส่งเข้าไปยังบริเวณที่เป็นเนื้องอกหรือบริเวณที่สงสัยว่าอาจมีเซลล์มะเร็ง เพื่อไม่ให้เซลล์เหล่านี้แพร่กระจายหรือเจริญเติบโตมากขึ้น
กรณีของมะเร็งลำไส้ใหญ่มักใช้ในสถานการณ์เฉพาะ เช่น ในผู้ป่วยมะเร็งไส้ตรง (Rectal Cancer) ซึ่งมะเร็งได้มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง หรือในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถผ่าตัดได้ รวมถึงใช้เพื่อบรรเทาอาการของมะเร็งที่แพร่กระจาย (Palliative Care)
บทบาทของการฉายแสงรังสีรักษาในมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่
- ฉายรังสีก่อนผ่าตัด (Neoadjuvant Radiation Therapy) เพื่อลดขนาดของเนื้องอกในลำไส้ใหญ่หรือไส้ตรง วิธีนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการผ่าตัดออกให้หมด โดยเฉพาะในกรณีที่มะเร็งอยู่ใกล้กับโครงสร้างสำคัญ เช่น กล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก ซึ่งต้องการการรักษาเพื่อป้องกันการสูญเสียการควบคุมการขับถ่าย
- ฉายรังสีหลังผ่าตัด (Adjuvant Radiation Therapy) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำ
- ฉายรังสีเพื่อบรรเทาอาการ (Palliative Radiation Therapy) ในกรณีที่มะเร็งลำไส้ใหญ่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การฉายแสงรังสีอาจถูกใช้เพื่อลดขนาดของเนื้องอกที่กดทับอวัยวะสำคัญ หรือบรรเทาอาการปวดและความไม่สบายจากมะเร็งที่แพร่กระจาย เช่น การลดขนาดเนื้องอกที่อาจกดทับกระดูกหรือตับ
4) การบำบัดด้วยยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) เป็นวิธีการรักษาที่มุ่งเน้นไปที่การโจมตีเฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง โดยใช้ยาที่ออกแบบมาเพื่อทำลายโปรตีนหรือโมเลกุลบางชนิดในเซลล์มะเร็งที่มีส่วนในการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
- วิธีการนี้แตกต่างจากเคมีบำบัดแบบดั้งเดิมที่มีผลต่อเซลล์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเซลล์มะเร็งหรือเซลล์ปกติ
- การบำบัดด้วยยามุ่งเป้าไปมักใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่น เช่น การผ่าตัด เคมีบำบัด หรือการฉายแสง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา โดยมักใช้ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายหรือไม่ตอบสนองต่อเคมีบำบัด
ประเภทของ Targeted Therapy ในมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ยาต้านการสร้างหลอดเลือด (Anti – Angiogenesis Therapy) ยานี้ช่วยยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่เลี้ยงเนื้องอก ซึ่งจำกัดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
- ยาที่มุ่งเป้าต่อโปรตีน EGFR (Epidermal Growth Factor Receptor) โปรตีน EGFR เป็นโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยาที่มุ่งเป้าต่อ EGFR จะยับยั้งการทำงานของ EGFR โดยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งได้รับสัญญาณที่ส่งเสริมการเติบโต
- ยาที่มุ่งเป้าไปที่การกลายพันธุ์ของ BRAF ยานี้สามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
- การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) เป็นวิธีการรักษาที่ใช้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการโจมตีและทำลายเซลล์มะเร็ง
-
- โดยทั่วไปแล้วระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเซลล์ผิดปกติเช่น เซลล์มะเร็ง แต่เซลล์มะเร็งบางชนิดสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับของระบบภูมิคุ้มกันได้
- การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกันจะช่วยกระตุ้นหรือปรับปรุงการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) เป็นทางเลือกใหม่ที่มีศักยภาพในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างที่ทำให้ตอบสนองต่อการรักษาด้วยภูมิคุ้มกัน
ประเภทของ Immunotherapy ที่ใช้รักษามะเร็งลำไส้ใหญ่
- Immune Checkpoint Inhibitors (ยายับยั้งจุดตรวจภูมิคุ้มกัน) เซลล์มะเร็งบางชนิดสามารถหลบหนีการโจมตีของระบบภูมิคุ้มกัน ยายับยั้งจุดตรวจภูมิคุ้มกันนี้จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถโจมตีเซลล์มะเร็งได้
- Cancer Vaccines วัคซีนที่พัฒนาขึ้นเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้รับรู้และโจมตีเซลล์มะเร็งในร่างกาย แม้ว่าวัคซีนมะเร็งจะยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย แต่มีความหวังในการใช้วัคซีนเหล่านี้เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหรือเพื่อเสริมสร้างการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
- Adoptive Cell Therapy วิธีการนี้เป็นการนำเอาเซลล์ภูมิคุ้มกันจากผู้ป่วยเองไปปรับปรุงให้มีความสามารถในการโจมตีเซลล์มะเร็งมากขึ้นแล้วนำกลับเข้าสู่ร่างกาย
อย่างไรก็ตามการรักษานี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและต้องการการติดตามและประเมินผลอย่างละเอียด
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของทีมแพทย์หลายสาขา รวมถึงแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคมะเร็ง นักโภชนาการ นักจิตวิทยา และพยาบาล เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดและเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยมากที่สุด
ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
การป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นวิธีการที่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่
- รับประทานอาหารที่เหมาะสม
- รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์
- ลดการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปและเนื้อแดง เช่น ไส้กรอก เบคอน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายมีการทำงานที่ดีขึ้นและลดการสะสมของไขมันในร่างกาย
- ควบคุมน้ำหนักตัว
- การมีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งทุกประเภท รวมถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรจำกัดการสูบและการดื่มหรือหลีกเลี่ยงหากเป็นไปได้
- ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่
- แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปเริ่มตรวจคัดกรอง และหากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุน้อยกว่า 50 ปีตามคำแนะนำของแพทย์ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นวิธีที่สามารถช่วยให้ตรวจพบการเจริญเติบโตผิดปกติในลำไส้ใหญ่ก่อนที่จะพัฒนาเป็นมะเร็ง
โรงพยาบาลที่ชำนาญการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่
ศูนย์ศัลยกรรมมะเร็ง ศูนย์อายุรกรรมมะเร็ง และศูนย์รังสีรักษา โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ พร้อมด้วยแพทย์เฉพาะทางมะเร็งที่มีความชำนาญและมากด้วยประสบการณ์ เครื่องมือและเทคโนโลยีทันสมัย พร้อมให้การตรวจเช็กมะเร็งลำไส้ใหญ่และเลือกวิธีรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เหมาะกับอาการและความรุนแรงของผู้ป่วยในแต่ละบุคคล ตลอดจนมีทีมสหสาขาคอยดูแลให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดเพื่อให้กลับไปมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง
แพทย์ที่ชำนาญการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่
นพ.วุฒิ สุเมธโชติเมธา ศัลยแพทย์ด้านมะเร็งสำไส้ โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ
สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง
แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง
แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง ราคาเริ่มต้นที่ 6,500 บาท
สอบถามเพิ่มเติมที่
ศูนย์ผู้ป่วยสัมพันธ์ โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ
โทร. 0 2755 1188 (สายด่วนมะเร็ง 8:00 น. – 20:00 น.)
หรือ โทร. 0 2310 3000
หรือ โทร. 1719