มะเร็งลำไส้ใหญ่

ข้อเท็จจริงมะเร็งลำไส้ใหญ่

  • ลำไส้ใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของระบบย่อยอาหารที่มีบทบาทสำคัญในร่างกาย โดยหน้าที่หลักของลำไส้ใหญ่คือการดูดซึมน้ำและเกลือแร่ที่เหลือจากอาหารที่ผ่านการย่อยในลำไส้เล็กและการขับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกายในรูปของอุจจาระ 
  • ลำไส้ใหญ่มีความยาวประมาณ 1.5 เมตร แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่:
    1. ลำไส้ใหญ่ส่วนต้น (Cecum) เชื่อมต่อกับลำไส้เล็กและเป็นจุดเริ่มต้นของลำไส้ใหญ่
    2. ลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง (Transverse Colon) ส่วนนี้ทอดยาวข้ามช่องท้องจากด้านขวาไปด้านซ้าย
    3. ลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง (Descending Colon) ส่วนนี้ทอดตัวลงสู่ช่องท้องด้านซ้าย
    4. ไส้ตรง (Rectum) ส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ที่เชื่อมกับทวารหนัก ทำหน้าที่เก็บอุจจาระก่อนที่จะถูกขับถ่ายออกจากร่างกาย
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่นับว่ามีความสำคัญต่อสุขภาพของประชาชน ในปัจจุบันมะเร็งลำไส้ใหญ่จัดเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับที่ 3 ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง มีโอกาสเสี่ยงมากขึ้นเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป แม้ว่าโรคนี้จะมีโอกาสในการรักษาให้หายได้หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ๆ แต่ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนสามารถป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม
  •  

มะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดจากอะไร

  • โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ในลำไส้ใหญ่หรือไส้ตรง ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบคุมได้ การเจริญเติบโตนี้มักเริ่มต้นจากการที่เยื่อบุผิวลำไส้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย พัฒนาเป็นติ่งเนื้อ (Polyp) และเมื่อเวลาผ่านไปติ่งเนื้อเหล่านี้อาจกลายเป็นมะเร็งได้หากไม่ได้รับการรักษา

สาเหตุมะเร็งลำไส้ใหญ่และปัจจัยเสี่ยง

  • แม้ว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย แต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนได้ อย่างไรก็ตามมีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่

    1. พันธุกรรมและประวัติครอบครัว หากมีคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ หรือพี่น้อง เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ความเสี่ยงที่เราจะเป็นโรคนี้จะสูงขึ้น นอกจากนี้มียีนที่ผิดปกติบางชนิดที่สืบทอดได้ ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ เช่น Lynch Syndrome และ Familial Adenomatous Polyposis (FAP)
    2. โภชนาการและพฤติกรรมการใช้ชีวิต การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง เนื้อแดง และอาหารแปรรูปมากเกินไป เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการไม่ออกกำลังกายยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความเสี่ยงของโรคนี้
    3. อายุ มะเร็งลำไส้ใหญ่มักเกิดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น แม้ว่าจะสามารถพบในคนอายุน้อยได้ แต่ความเสี่ยงในกลุ่มคนอายุมากจะสูงกว่า
    4. โรคลำไส้อักเสบ ผู้ที่มีประวัติการเป็นโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบของลำไส้ เช่น Crohn’s Disease หรือ Ulcerative Colitis มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการพัฒนาเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากการอักเสบเรื้อรังสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในลำไส้
    5. การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม (Mutation) การกลายพันธุ์ของเซลล์ในลำไส้สามารถทำให้เซลล์เจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็งได้ การกลายพันธุ์นี้อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น สารเคมีที่เป็นพิษ

สัญญาณเตือนและอาการของโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่

  • มะเร็งลำไส้ใหญ่มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่เมื่อเนื้องอกเริ่มเติบโตหรือมะเร็งพัฒนาไปมากขึ้น อาจเกิดอาการที่สังเกตได้ ดังนี้

    1. การเปลี่ยนแปลงในการขับถ่าย
      • ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
      • รู้สึกไม่สบายท้องหลังจากขับถ่ายหรือรู้สึกว่าลำไส้ยังไม่ว่างเต็มที่หลังจากขับถ่าย
      • การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของอุจจาระ เช่น มีลักษณะเป็นเส้นยาวหรือแบนกว่าปกติ
    2. การมีเลือดปนในอุจจาระ
      • พบเลือดสดหรือเลือดที่มีสีคล้ำปนอยู่ในอุจจาระ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งในลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก
    3. อาการปวดท้องหรือไม่สบายท้อง
      • ปวดท้องเรื้อรัง ตะคริว หรือรู้สึกท้องอืดบ่อย ๆ
    4. อาการเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย
      • อาการอ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่ายโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน ซึ่งอาจเกิดจากการเสียเลือดเล็กน้อยแต่เรื้อรัง ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง
    5. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
      • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย
    6. ท้องผูกสลับกับท้องเสีย
      • การเกิดท้องผูกและท้องเสียสลับกันเป็นประจำ อาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในลำไส้ใหญ่

ตรวจวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่

  • การตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอนและต้องพิจารณาจากอาการ ประวัติทางการแพทย์ และผลการตรวจเบื้องต้น วิธีการตรวจวินิจฉัยมีหลายวิธี ซึ่งประกอบด้วย

    1. การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการตรวจหาโพลิปและเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ โดยการสอดกล้องขนาดเล็กที่มีกล้องวิดีโอเข้าไปในลำไส้ใหญ่ หากพบโพลิปหรือเนื้องอก แพทย์จะตัดตัวอย่างเนื้อเยื่อเพื่อนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่
    2. การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT-Scan) เอกซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ PET CT-Scan ช่วยตรวจดูขอบเขตของการแพร่กระจายของมะเร็งในลำไส้ใหญ่และอวัยวะอื่น ๆ เช่น ตับ กระดูก หรือปอด
    3. การตรวจเลือด (Carcinoembryonic Antigen – CEA Test) การตรวจระดับสาร CEA ในเลือด ซึ่งเป็นโปรตีนที่เซลล์มะเร็งบางชนิดปล่อยออกมา การตรวจนี้มักใช้เพื่อติดตามผลหลังการรักษาและดูว่ามะเร็งกลับมาเกิดใหม่หรือไม่

    การตรวจวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม

ระยะของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

ระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่แบ่งออกเป็น

  • ระยะที่ 0 มะเร็งเฉพาะในเยื่อบุผิว (Carcinoma in situ) เป็นระยะแรกสุดของมะเร็ง เซลล์มะเร็งยังคงอยู่ในชั้นเยื่อบุผิวของลำไส้ใหญ่เท่านั้น และยังไม่ได้เจริญเติบโตเข้าสู่ชั้นลึกของผนังลำไส้
  • ระยะที่ 1 มะเร็งเริ่มลุกลามเข้าสู่ชั้นลึกของผนังลำไส้ใหญ่ มะเร็งลุกลามจากชั้นเยื่อบุผิวเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อของผนังลำไส้ แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น ๆ
  • ระยะที่ 2 มะเร็งลุกลามไปถึงผนังลำไส้และเยื่อหุ้มช่องท้อง มะเร็งลุกลามลึกลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อและอาจทะลุผ่านผนังลำไส้ไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใกล้เคียง แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง
  • ระยะที่ 3 มะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง มะเร็งลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ลำไส้ใหญ่ แต่อาจยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ห่างไกล
  • ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ (Metastatic Cancer) มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะ
อื่น ๆ เช่น ตับ ปอด หรือกระดูก ซึ่งเป็นระยะที่รุนแรงที่สุด

รักษามะเร็งลำไส้ใหญ่

การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ขนาดของเนื้องอก ตำแหน่งที่เกิดมะเร็ง และสภาพทั่วไปของผู้ป่วย โดยทั่วไปแล้วการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่จะประกอบด้วยวิธีหลัก ๆ ดังนี้

1) การผ่าตัด (Surgery) เป็นการรักษาหลักของมะเร็งลำไส้ใหญ่เพื่อตัดลำไส้ส่วนที่เป็นเซลล์มะเร็งออกไป อาจต้องรักษาร่วมกับวิธีอื่น ๆ เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา วิธีการผ่าตัดลำไส้ใหญ่แบ่งออกเป็น

  • การผ่าตัดลำไส้ใหญ่บางส่วน (Partial Colectomy) การเอาส่วนที่มีมะเร็งและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ออกจากลำไส้ใหญ่  หากมะเร็งเกิดขึ้นที่บริเวณไส้ตรงอาจต้องทำการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ทั้งส่วนปลายและไส้ตรง พร้อมทั้งมีการสร้างทวารใหม่ (Ostomy) สำหรับการขับถ่าย
  • การผ่าตัดลำไส้ใหญ่ทั้งหมดและไส้ตรง (Total Colectomy) กรณีมะเร็งเกิดขึ้นหลายตำแหน่งของลำไส้ใหญ่ อาจต้องทำการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออกทั้งหมด พร้อมทั้งสร้างทวารใหม่ (Ostomy) สำหรับการขับถ่าย

2) การใช้เคมีบำบัด (Chemotherapy) การใช้ยาเคมีบำบัดจะเข้าไปช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งทั่วทั้งร่างกาย มักใช้ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น ๆ การให้เคมีบำบัดมีหลายแบบ ได้แก่

  • เคมีบำบัดก่อนผ่าตัด (Neoadjuvant Chemotherapy) ใช้เพื่อลดขนาดเนื้องอกและลดการแพร่กระจายก่อนการผ่าตัด
  • เคมีบำบัดหลังผ่าตัด (Adjuvant Chemotherapy) ใช้หลังการผ่าตัดเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลือและลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นมะเร็งใหม่
  • เคมีบำบัดในผู้ป่วยระยะที่ 4 (Palliative Chemotherapy) ใช้เพื่อบรรเทาอาการและยืดอายุชีวิตในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ

3) การฉายรังสี (Radiation Therapy) เป็นการใช้รังสีพลังงานสูงส่งเข้าไปยังบริเวณที่เป็นเนื้องอกหรือบริเวณที่สงสัยว่าอาจมีเซลล์มะเร็ง เพื่อไม่ให้เซลล์เหล่านี้แพร่กระจายหรือเจริญเติบโตมากขึ้น

กรณีของมะเร็งลำไส้ใหญ่มักใช้ในสถานการณ์เฉพาะ เช่น ในผู้ป่วยมะเร็งไส้ตรง (Rectal Cancer) ซึ่งมะเร็งได้มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง หรือในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถผ่าตัดได้ รวมถึงใช้เพื่อบรรเทาอาการของมะเร็งที่แพร่กระจาย (Palliative Care)

บทบาทของการฉายแสงรังสีรักษาในมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่

  • ฉายรังสีก่อนผ่าตัด (Neoadjuvant Radiation Therapy) เพื่อลดขนาดของเนื้องอกในลำไส้ใหญ่หรือไส้ตรง วิธีนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการผ่าตัดออกให้หมด โดยเฉพาะในกรณีที่มะเร็งอยู่ใกล้กับโครงสร้างสำคัญ เช่น กล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก ซึ่งต้องการการรักษาเพื่อป้องกันการสูญเสียการควบคุมการขับถ่าย
  • ฉายรังสีหลังผ่าตัด (Adjuvant Radiation Therapy) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำ
  • ฉายรังสีเพื่อบรรเทาอาการ (Palliative Radiation Therapy) ในกรณีที่มะเร็งลำไส้ใหญ่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การฉายแสงรังสีอาจถูกใช้เพื่อลดขนาดของเนื้องอกที่กดทับอวัยวะสำคัญ หรือบรรเทาอาการปวดและความไม่สบายจากมะเร็งที่แพร่กระจาย เช่น การลดขนาดเนื้องอกที่อาจกดทับกระดูกหรือตับ

4) การบำบัดด้วยยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) เป็นวิธีการรักษาที่มุ่งเน้นไปที่การโจมตีเฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง โดยใช้ยาที่ออกแบบมาเพื่อทำลายโปรตีนหรือโมเลกุลบางชนิดในเซลล์มะเร็งที่มีส่วนในการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง

  • วิธีการนี้แตกต่างจากเคมีบำบัดแบบดั้งเดิมที่มีผลต่อเซลล์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเซลล์มะเร็งหรือเซลล์ปกติ
  • การบำบัดด้วยยามุ่งเป้าไปมักใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่น เช่น การผ่าตัด เคมีบำบัด หรือการฉายแสง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา โดยมักใช้ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายหรือไม่ตอบสนองต่อเคมีบำบัด

ประเภทของ Targeted Therapy ในมะเร็งลำไส้ใหญ่

  1. ยาต้านการสร้างหลอดเลือด (Anti – Angiogenesis Therapy) ยานี้ช่วยยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่เลี้ยงเนื้องอก ซึ่งจำกัดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  2. ยาที่มุ่งเป้าต่อโปรตีน EGFR (Epidermal Growth Factor Receptor) โปรตีน EGFR เป็นโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยาที่มุ่งเป้าต่อ EGFR จะยับยั้งการทำงานของ EGFR โดยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งได้รับสัญญาณที่ส่งเสริมการเติบโต
  3. ยาที่มุ่งเป้าไปที่การกลายพันธุ์ของ BRAF ยานี้สามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
  4. การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) เป็นวิธีการรักษาที่ใช้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการโจมตีและทำลายเซลล์มะเร็ง
    • โดยทั่วไปแล้วระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเซลล์ผิดปกติเช่น เซลล์มะเร็ง แต่เซลล์มะเร็งบางชนิดสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับของระบบภูมิคุ้มกันได้
    • การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกันจะช่วยกระตุ้นหรือปรับปรุงการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) เป็นทางเลือกใหม่ที่มีศักยภาพในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างที่ทำให้ตอบสนองต่อการรักษาด้วยภูมิคุ้มกัน

ประเภทของ Immunotherapy ที่ใช้รักษามะเร็งลำไส้ใหญ่

  1. Immune Checkpoint Inhibitors (ยายับยั้งจุดตรวจภูมิคุ้มกัน) เซลล์มะเร็งบางชนิดสามารถหลบหนีการโจมตีของระบบภูมิคุ้มกัน ยายับยั้งจุดตรวจภูมิคุ้มกันนี้จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถโจมตีเซลล์มะเร็งได้
  2. Cancer Vaccines วัคซีนที่พัฒนาขึ้นเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้รับรู้และโจมตีเซลล์มะเร็งในร่างกาย แม้ว่าวัคซีนมะเร็งจะยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย แต่มีความหวังในการใช้วัคซีนเหล่านี้เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหรือเพื่อเสริมสร้างการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
  3. Adoptive Cell Therapy วิธีการนี้เป็นการนำเอาเซลล์ภูมิคุ้มกันจากผู้ป่วยเองไปปรับปรุงให้มีความสามารถในการโจมตีเซลล์มะเร็งมากขึ้นแล้วนำกลับเข้าสู่ร่างกาย

อย่างไรก็ตามการรักษานี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและต้องการการติดตามและประเมินผลอย่างละเอียด

การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของทีมแพทย์หลายสาขา รวมถึงแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคมะเร็ง นักโภชนาการ นักจิตวิทยา และพยาบาล เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดและเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยมากที่สุด

 

ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่

การป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นวิธีการที่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่

  1. รับประทานอาหารที่เหมาะสม
    • รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์
    • ลดการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปและเนื้อแดง เช่น ไส้กรอก เบคอน
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    • การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายมีการทำงานที่ดีขึ้นและลดการสะสมของไขมันในร่างกาย
  3. ควบคุมน้ำหนักตัว
    • การมีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
  4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
    • การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งทุกประเภท รวมถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรจำกัดการสูบและการดื่มหรือหลีกเลี่ยงหากเป็นไปได้
  5. ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่
    • แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปเริ่มตรวจคัดกรอง และหากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุน้อยกว่า 50 ปีตามคำแนะนำของแพทย์ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นวิธีที่สามารถช่วยให้ตรวจพบการเจริญเติบโตผิดปกติในลำไส้ใหญ่ก่อนที่จะพัฒนาเป็นมะเร็ง

โรงพยาบาลที่ชำนาญการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่

ศูนย์ศัลยกรรมมะเร็ง ศูนย์อายุรกรรมมะเร็ และศูนย์รังสีรักษา โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ พร้อมด้วยแพทย์เฉพาะทางมะเร็งที่มีความชำนาญและมากด้วยประสบการณ์ เครื่องมือและเทคโนโลยีทันสมัย พร้อมให้การตรวจเช็กมะเร็งลำไส้ใหญ่และเลือกวิธีรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เหมาะกับอาการและความรุนแรงของผู้ป่วยในแต่ละบุคคล ตลอดจนมีทีมสหสาขาคอยดูแลให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดเพื่อให้กลับไปมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง

แพทย์ที่ชำนาญการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่

นพ.วุฒิ สุเมธโชติเมธา ศัลยแพทย์ด้านมะเร็งสำไส้ โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ

สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง ราคาเริ่มต้นที่ 6,500 บาท

คลิกที่นี่

สอบถามเพิ่มเติมที่

ศูนย์ผู้ป่วยสัมพันธ์ โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ

โทร. 0 2755 1188 (สายด่วนมะเร็ง 8:00 . – 20:00 .)
หรือ โทร. 0 2310 3000
หรือ โทร.
1719