มะเร็งลำไส้ใหญ่
ข้อเท็จจริง
- ลำไส้ส่วนปลายเป็นท่อกลวงยาวประมาณ 5 – 6 ฟุต ท่อความยาว 5 ฟุตแรกคือส่วนของลำไส้ใหญ่และต่อกับลำไส้ตรงที่ยาวประมาณ 6 นิ้ว ส่วนต่อจากลำไส้ตรง คือ ทวารหนัก
- หน้าที่ของลำไส้ใหญ่ คือ แปรของเสียเหลวให้เป็นอุจจาระแข็ง โดยอาหารจะใช้เวลาเดินทางมาสู่ลำไส้ใหญ่ประมาณ 3 – 8 ชั่วโมง หลังจากรับประทาน ช่วงเวลานี้สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ส่วนที่ไม่ถูกดูดซึมจะเป็นของเสียเหลว
- มะเร็งลำไส้ใหญ่จัดเป็นมะเร็งที่พบมากลำดับที่ 3 ทั้งในชายและหญิง โอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบมากขึ้นเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป
- ส่วนใหญ่มะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดขึ้นเมื่อผนังลำไส้ใหญ่เริ่มสร้างติ่งเนื้องอกที่เรียกว่าอะอีโนมาตัส (มะเร็งขั้นเริ่ม) ในประเทศไทยเป็นมะเร็งที่พบมากขึ้นทั้งในผู้ชายและผู้หญิง
ปัจจัยเสี่ยง
- กลุ่มเสี่ยงสูง คือ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ติ่งเนื้อที่ลำไส้ใหญ่ หรือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิดถ่ายทอดทางพันธุกรรมบางชนิด รวมถึงผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ หรือโรคโครน (Crohn’s Disease) กลุ่มนี้ควรเริ่มรับการตรวจหามะเร็งก่อนอายุปกติที่ควรตรวจ
- บุคคลที่มีประวัติครอบครัวใกล้ชิดเป็นโรคมาก่อน เช่น บิดามารดา พี่น้องหรือบุตร มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งชนิดนี้ประมาณ 2/3 ของประชากรปกติ แต่ในความจริงแล้วกลับพบว่า ประมาณ 80% ของผู้ป่วยใหม่ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
- ปัจจัยในการดำรงชีวิต ได้แก่
- รับประทานอาหารมันและเนื้อแดงมาก
- รับประทานผักและผลไม้น้อย
- รับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง
- ออกกำลังกายน้อย
- โรคอ้วน
- การสูบบุหรี่
- ดื่มสุราจัด
ระยะของโรค
- ขั้น 0 (Stage 0) (ระยะก่อนมะเร็ง) พบมะเร็งที่ผนังด้านนอกสุดของผนังลำไส้ใหญ่
- ขั้น 1 (Stage I) พบมะเร็งที่เยื่อบุชั้นที่ 2 และ 3 ของผนังลำไส้ใหญ่ แต่ไม่พบที่ผนังด้านนอกลำไส้ใหญ่หรือมากกว่านั้น ขั้นนี้เรียกว่า Dukes’ A
- ขั้น 2 (Stage II) มะเร็งลุกลามไปที่ผนังลำไส้ใหญ่ แต่ไม่มีการแพร่กระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง (หน่วยเล็ก ๆ ที่ช่วยต่อสู้การติดเชื้อและโรค) ขั้นนี้เรียกว่า Dukes’ B
- ขั้น 3 (Stage III) มะเร็งลุกลามไปผนังลำไส้ใหญ่และต่อมน้ำเหลือง แต่ยังไม่ลุกลามไปอวัยวะอื่น ขั้นนี้เรียกว่า Dukes’ C
- ขั้น 4 (Stage IV) มะเร็งลุกลามไปอวัยวะอื่น(เช่น ตับและปอด) ขั้นนี้เรียกว่า Dukes’ D
อาการ
- ในระยะแรกผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการเลือดออกทางทวารหนัก หรืออุจจาระปนเลือด หรืออุจจาระเป็นเลือด แต่อุจจาระมีรูปร่างเปลี่ยนไป (เป็นเส้นเล็กลง) ปวดเกร็งในท้อง
- มะเร็งลำไส้ตรงส่วนใหญ่มักแสดงอาการต่างจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ คือ อุจจาระปนเลือด ท้องผูกสลับกับท้องเดินอย่างไม่มีสาเหตุ ขนาดของเส้นอุจจาระเปลี่ยนไป และปวดเบ่ง รู้สึกปวดถ่ายในขณะที่ไม่มีอุจจาระหรือไม่สามารถขับถ่ายออกได้ ถ้าก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้นอาจไปเบียดอวัยวะข้างเคียง ทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือปวด เนื่องจากมีการกดทับที่ก้นหรือฝีเย็บ
การตรวจวินิจฉัย
- การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่าง
- การตรวจเอกซเรย์โดยการสวนแป้งแบเรี่ยม
- การตรวจเลือดเพื่อหาระดับของ Carcinoembryonic Antigen (CEA) (การตรวจเลือดเพื่อค้นหามะเร็ง)
- เอกซเรย์ทรวงอก
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้องและเชิงกราน
- การตรวจเพื่อหาการลุกลามของมะเร็งอาจใช้ CT Scan, MRI หรือการส่องกล้องคลื่นความถี่สูง (EUS)
การผ่าตัด
การผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่จะทำตามตำแหน่งที่เกิดในลำไส้ เช่น
- การผ่าตัดบริเวณครึ่งขวาของลำไส้ Rt. Extended Hemicolectomy
- การผ่าตัดบริเวณ Transverse Colon Transverse Colectomy
- การผ่าตัดบริเวณครึ่งซ้ายของลำไส้ Lt. Hemicolectomy
- การผ่าตัดบริเวณ Sigmoid Colon Sigmoidectomy
- Sigmoidectomy with Hartman’s Pouch
- ส่วนกรณีลำไส้ตรงซึ่งอยู่บริเวณเชิงกรานที่มีโครงกระดูกขนาดใหญ่ ทำให้ศัลยแพทย์ประสบความยากลำบากในการเลาะตัดชิ้นเนื้อบริเวณใกล้เคียงเพื่อตัดเอาก้อนมะเร็งออกมาต้องใช้วิธีการ AP resection
- ในผู้ป่วยที่ก้อนมีขนาดใหญ่มากจนไม่สามารถจะทำการผ่าตัดได้ การให้การฉายรังสีร่วมกับยาเคมีบำบัดก่อนการผ่าตัดเพื่อทำให้ก้อนเล็กลงจะช่วยให้ก้อนเล็กลงจนผู้ป่วยสามารถเข้ารับการผ่าตัดเอาก้อนออกได้ วิธีนี้เรียกว่า “Downstaging” ผู้ป่วยขั้น 0 และ 1 ใช้การผ่าตัดเพียงอย่างเดียว ผู้ป่วยขั้น 2 และ 3 ที่เสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำอีก ควรให้การฉายรังสีและยาเคมีบำบัดร่วมด้วย อาจใช้ก่อนหรือหลังผ่าตัด
- แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้รับการผ่าตัดก้อนมะเร็งออกทั้งหมด แต่อุบัติการณ์การกลับเป็นซ้ำอีกสูงถึง 50 – 60% การให้ยาเคมีบำบัดจึงเพื่อลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำอีก
- การศึกษาแสดงถึงการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีแตกต่างกัน โดยทั่วไปผู้ป่วยมะเร็งขั้น 2 ที่มีปัญหาลำไส้ทะลุหรือลำไส้อุดตัน หรือที่เป็นมะเร็งชนิดเซลล์ผิดปกติมาก (จากการตรวจชื้นเนื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์) นับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงการกลับเป็นซ้ำอีกจะได้รับการรักษาโดย Fluorouracil (5-FU) และ Leucovorin (LV) ซึ่งทั้งสองตัวเป็นยาเคมีบำบัดเป็นเวลา 6 เดือน ขณะที่ผู้ป่วยมะเร็งขั้น 2 อื่น ๆ ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ต้องเข้ารับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยมะเร็งขั้น 3 ได้รับการรักษาด้วย Fluorouracil และ Leucovorin เป็นเวลา 6 เดือน ด้วยวิธีการรักษาแบบนี้ทำให้อัตราการรอดชีวิตเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว ส่วนผู้ป่วยมะเร็งขั้น 4 ใช้การรักษาด้วยการตัดก้อนมะเร็งออกร่วมกับการฉายรังสีรักษา โดยอาจใช้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วยหรือไม่ร่วมด้วย
- ผู้ป่วยบางรายอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดตามการลุกลามของมะเร็งไปอวัยวะใกล้เคียง เช่น ตับ รังไข่ เป็นต้น การรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม ใช้ Fluorouracil, Leucovorin และ Irinotecan (CPT-11 หรือ Camptosar) หรือ Oxaliplatin (Eloxitin) สูตรการใช้ยา Irinotecan หรือ Oxaliplatin ร่วมด้วย มีผลดีในการรักษาเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ใช้เพียง Fluorouracil และ Leucovorin เท่านั้น
ผู้เขียน
นพ.วุฒิ สุเมธโชติเมธา แพทย์ศัลยศาสตร์ด้านโรคมะเร็ง โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ